วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ห้องเรียนริมถนน

เธอรู้ดี เธอเลือกกำเนิดไม่ได้หรอก เธอเลือกได้เช่นนั้นหรือ หากเธอเลือกได้ เธอทุกคนคงปรารถนาเกิดในครอบครัวที่สุขสบาย มีกินมีใช้ ไม่อดอยากหรือต้องดิ้นรนแสวงหาสิ่งใดให้เหนื่อยหน่ายล้ารันทด เธอบางคนอาจปรารถนามากสักหน่อย เป็นต้นว่า ปรารถนาที่จะเกิดเป็นลูกพระยามหาเศรษฐี มั่งมีและอุดมด้วยทรัยพ์ศฤงคาร ครั้นลองพินิจพิเคราะห์ดูสิ ขณะเธออยู่ในครรภ์มารดา ธาตุสันดานแห่งความโลภ โกรธ หลง ย่อมย้อมดวงใจของเราให้ปรารถนาความสุขสบาย อันเป็นสมบัติที่มีมาจากบ้านเก่า แต่เมื่อลืมตายลโลกครั้งแรก แล้วเติบโตขึ้น เธอย่อมสะเทือนใจเป็นแน่แท้ เธอทุกคนมิได้สมหวังเหมือนเหมือนกัน ครั้นแล้ว ปัจจัยต่างๆ ย่อมได้ถักทอวิถีชีวิตของเธอขึ้นมา อาทิ การเลี้ยงดู การอบรม การศึกษา ฐานะแห่งครอบครัว ความรู้ ประสบการณ์ สิ่งแวดล้อม ฯลฯ

เธอยังดำรงอยู่... และเธอย่อมดำรงดำเนินต่อไป... บนวิถีชีวิตที่เธอเลือกเกิดมิได้...

แต่เธอ... เลือกที่จะเป็น... เลือกที่จะสร้าง... เลือกที่จะกำหนดหมุดหมายแห่งดวงใจ เพื่อดำเนินต่อไปบนเส้นทางที่เธอมิอาจรู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อใด

ตราบใดที่ต่างมีลมชีวีอยู่ในกาย เราสมควรเลือกวิถีทางด้วยตนเองเพื่อสานลมชีวีนั้นต่อไป

***

มีอยู่วันหนึ่ง ฉันไปนมัสการพระร่วงโรจนฤทธิ์ ความสงบแห่งองค์พระปฏิมาดลให้ฉันมีความสงบเช่นกัน และในขณะที่ฉันกำลังจะออกจากองค์พระปฐมเจดีย์นั้น ไฟแดงของสี่แยกก็กำหนดให้ฉันต้องหยุดรอสัญญาณ ฉันปั่นจักรยานต่อไปมิได้ แต่กระนั้น การรอสัญญาณไฟครั้งนี้ทำให้ฉันเข้าร่วมห้องเรียนแห่งชีวิต บนรถจักรยานคันหนึ่ง ซึ่งปรากฏให้เห็นชัดเจนแจ่มแจ้ง เมื่อมารดาผู้หนึ่งกำลังสอนบุตรชายวัยเยาว์ อายุไม่เกิน ๗ ขวบ ให้เข้าใจการงานของตนอันมีหน้าที่ขายของรี่เร่ไปตามร้านรวงต่างๆ ยามเวลาราตรี หล่อนย้ำชัดแจ่มแจ้งว่าจงขายของแก่ลูกค้าที่อยู่ในร้านรวงต่างๆ เท่านั้น มิใช่ อ้อล้อฉอเลาะกอดรัดฟัดเหวี่ยงบริกรหนุ่มสาวของร้านค้าร่ำไป ฝ่ายลูกชายนั้นทำหน้าเบะเหมือนจะร้องไห้ แต่ก็พยักหน้ารับคำสอนเป็นระยะเป็นระยะ ฉันเห็นของที่หล่อนใช้บุตรไปขายในตะกร้าหน้ารถจักรยาน ของเหล่านั้น ผู้เป็นมารดาคงจัดหามาให้ ทั้งทิชชู่ ตุ๊กตาแสงไฟสีสัน หรือดอกกุหลาบหุบบ้างบานบ้าง

ฉันเคยถูกวาดหวังให้เป็นลูกค้าตามกิจค้าขายเช่นนี้ ซึ่งทุกครั้ง ฉันจะปฏิเสธ เพราะฉันไม่เห็นด้วยต่อการให้เด็กมาขายของตอนเที่ยงคืนดื่นดึก และอีกประการ ฉันก็ไม่จำเป็นต้องใช้ของเหล่านั้นเลย ฉันจึงไม่ซื้อ แต่ใช่ว่าจะมีคนทำเช่นฉันเสมอไปก็หาไม่ บางคนได้ซื้อ จะด้วยเหตุอันใดฉันมิอาจทราบได้ อาจเกิดความสงสาร อาจเป็นความต้องการสินค้าอย่างแท้จริง หรือเหตุลึกลึกเขาเหล่านั้นอาจเริงอำนาจเงินที่อยู่ในมือของพวกเขา ฉันมิอาจล่วงรู้ตื้นลึกในจิตใจใครได้

ห้องเรียนริมถนนที่ปรากฏยังเบื้องหน้าของฉัน ฉันได้แต่เฝ้ามอง เธอรู้หรือไม่ว่าฉันรู้สึกเช่นไร ฉันสลดใจเด็กน้อยผู้นั้น เขาน่าจะเติบโตในความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้ แต่...

เรารู้ดี เราเลือกกำเนิดไม่ได้หรอก เราเลือกได้เช่นนั้นหรือ หากเราเลือกได้ เราทุกคนคงปรารถนาเกิดในครอบครัวที่สุขสบาย มีกินมีใช้ ไม่อดอยากหรือต้องดิ้นรนแสวงหาสิ่งใดให้เหนื่อยหน่ายล้ารันทด แต่...

เรา... เลือกที่จะเป็น... เลือกที่จะสร้าง... เลือกที่จะกำหนดหมุดหมายแห่งดวงใจ เพื่อดำเนินต่อไปบนเส้นทางที่เรามิอาจรู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อใด

ใช่หรือไม่ ?

***

หลังจากที่สัญญาณไฟเขียวอนุญาตให้ฉันปั่นจักรยานมุ่งหน้ากลับที่พักได้ต่อ ฉันคิดคำนึงและหวังไว้ในใจลึกลึก หวังอย่างเต็มเปี่ยม ว่ามารดาผู้นั้น นอกจากจะสอนกลวิธีค้าขายให้บุตรชายของหล่อน หล่อนน่าจะสอนให้บุตรชายสร้างหัวใจที่เข้มแข็งและเปี่ยมแน่นด้วยกำลัง ตามบริบทแห่งชีวิตที่พรั่งพร้อมเป็นโอกาสเอื้อให้ เพื่อมีหัวใจนั้นไว้เผชิญอะไรต่อมิอะไรในภายหน้า บนโลกาที่หมุนไปด้วยแรงทุกข์ทน เธอรู้ไหม ฉันอิจฉาเสียอีก ที่บางทีเด็กน้อยผู้นั้นอาจเติบโตมาแข็งแกร่งกว่าฉัน... กว่าเธอ... หรือกว่าใครใคร





วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553

จุดดาวประกายฝัน

หยิบดาวมาแต้มตา
แล้วหยิบดาวมาแต้มใจ
จะจุดแสงระยิบไฟ
บันดาลใจให้เกิดฝัน


เมื่อล้า เมื่อล้ม
ลองก้ม ดูเงาที่ทอดนั่น
ยังมีคู่ไว้เคียงกัน
และนั่น... คือเธออีกคน
ให้รู้ว่ามี
เพื่อนนี้จะไม่หมองหม่น
เพื่อนดีคือเธออีกคน
ที่ไม่ยอมอับจนทุกทางตัน


จุดดาวที่ใจเป็นไฟโหม
ลุกโลมปลุกใจไปปลุกฝัน
แล้วชัดแจ้งพลัน
เงานั้น เกิดมาเพื่อปลอบประโลม


เธอ... โปรดใฝ่หาดู
ไฟดาวจะพรั่งพรูและลุกโหม
สลายเหงื่อทรกรรมส่ำโทรม
แล้วชโลม ด้วยน้ำใสแห่งใจจริง

***

ถ้อยบทนี้แต่งไว้ให้เพื่อนชื่อเจน ผู้มีหนทางของตนเองอันแจ่มชัด
เมื่อคราวที่เพื่อนของผมคนนี้ต้องการกำลังใจเป็นการด่วน ~ เพื่อเจนนะ

วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ขอพูดตรงตรงกับนาย

ขอพูดตรงตรงกับนาย
นาม... ผู้สร้างฝัน
นายมักให้คำมั่น
สัญญามั่นเบื้องหน้านาฬิกา
จักมุ่งปักธงชัย
จักใฝ่ จักฝ่า
ยังลานฝันอันเลอค่า
ให้กาลเวลาพิสูจน์คน


แต่ทุกสนามยังล้มเหลว
เหมือนปลูกไม้แต่ไร้ผล
จึงเจ็บ... ร้อนรน
เพราะนายไม่บำรุงต้นของตนเอง


ลืมเลือนคำสัตย์นาฬิกา
แล้วนั่งเหว่ว้า... เครียดเคร่ง...
รำพันพร่ำลำเพลง
โหรงเหรง... โหรงเหรง... ไร้ค่าตัว


โทษอื่น โทษอื่นอื่น
นายสิหดหัว
ปากปะระรานทั่ว
เกลงกลัวความจริงเกิดแก่ใจ


หากนายรักที่จะฝัน
แล้วทำไมไม่รักที่จะใฝ่
ลืมความจริงใจ
ที่มีให้ต่อตน
มาเพ้อไปวันวัน
สำแดงฝันอันสับสน
สุดท้าย... ฟุ้งซ่านและทุกข์ทน
หมองหม่นเมื่อแพ้พ่าย
หากกบฏตัวตน
ขอให้นึกถึงวันตาย
ยามเหลือลมสุดท้าย
ย่อมเสียดาย... มิได้สร้างสิ่งใด


ขอพูดตรงตรงกับนาย
นาม... ผู้สร้างฝันแต่ลืมใฝ่
คำมั่นใดใด
โปรดอย่าทิ้งไว้กับนาฬิกา